ทบทวนธรรมเพื่อการสร้างจิตวิญญาณ ให้มีความผาสุกที่สุดในโลก
เรื่องการเข้าใจผิดของเรากับผู้อื่น เราต้องระลึกรู้ว่า
มันคือวิบากกรรมเขา วิบากกรรมเรา
แก้ไขได้ด้วยการทำดี ไม่มีถือสาไปเรื่อย ๆ
แล้ววันใดวันหนึ่งข้างหน้า ในชาตินี้หรือชาติหน้า
หรือชาติอื่น ๆ สืบไป ความเข้าใจผิดนั้นก็จะหมดไปเอง
เราต้องรู้ว่าแต่ละคนมีฐานจิตแตกต่างกัน เราจึงควรประมาณการกระทำ
ให้เหมาะสมกับฐานจิตของเรา และฐานจิตของผู้อื่น “คิดดี ทำดี ไว้ก่อน ดีที่สุด”
การกระทำเดียวกันมีเหตุผล ในการกระทำกว่าล้านเหตุผล ต้องระวัง “อคติ”
หรือความเข้าใจผิด จากการคาดเดาที่ผิดของเรา
สิ่งที่เราได้รับคือสิ่งที่เราทำมา ไม่มีสิ่งใดที่เราได้รับโดยที่เราไม่เคยทำมา
ถ้าเรายังไม่เข้าใจคนอื่น แสดงว่าเรายังไม่เข้าใจตนเอง
เมื่อเกิดสิ่งเลวร้ายกับเรา ไม่มีอะไรบังเอิญ
ทุกอย่างยุติธรรมเสมอ เพราะเราเคยทำเช่นนั้น
มามากกว่านั้น เมื่อได้รับแล้วก็หมดไปเราก็จะโชคดีขึ้น
เรามีหน้าที่ทำ แต่ละสิ่งแต่ละอย่างให้อยู่ในสภาพที่ดีที่สุด
เท่าที่จะพึงทำได้ ให้โลกและเราได้อาศัยก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะดับไปเท่านั้น
เราทำดีดีด้วยการช่วยไม่ให้ คนอื่นทำผิดได้ก็ “ช่วย”
แล้ววางให้เป็นไปตามวิบากดีของเขา
ช่วยไม่ได้ก็วางเป็นตามวิบากร้ายของเขา
เมื่อเขาเห็นทุกข์จนเกินทน จึงจะเห็นธรรม แล้วจะปฏิบัติธรรมสู่ความพ้นทุกข์
เมื่อเกิดสิ่งเลวร้ายกับเรา โลกนี้ไม่มีใครผิดต่อเรา เราเท่านั้นที่ผิดต่อเรา
คนอื่นที่ทำไม่ดีนั้น เขาผิดต่อตัวเขาเองเท่านั้น
และเขาก็ต้องได้รับวิบากร้ายนั้นเอง เขาจึงไม่ได้ผิดต่อเรา
แต่เขานั้นผิดต่อตัวขาเอง
ถ้าเรายังเห็นว่า คนที่ทำไม่ดีกับเรา เป็นคนผิดต่อเรา แสดงว่าเรานั่นแหละผิด
อย่าโทษ ใครในโลกใบนี้ ผู้ใดที่โทษผู้อื่นว่าผิดต่อตัวเรา จะไม่มีทางบรรลุธรรม
นี่คือคนที่ไม่ยอมรับความจริง เพราะไม่เข้าใจเรื่อง “กรรม”
อย่างแจ่มแจ้งว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทุกคนได้รับ
ล้วนเกิดจากการกระทำของตนเองเท่านั้น
เมื่อรับผลดีร้ายจาก การกระทำแล้ว ผลนั้นก็จบดับไป
และสุดท้ายเมื่อปรินิพพาน ทุกคนก็ต้องสูญจากทั้งดีและร้ายไป
ไม่มีอะไรเป็นสมบัติของใคร เพราะสุดท้ายทุกสิ่งทุกอย่าง ก็ต้องดับไป จึงไม่ยึด ไม่ต้องทุกข์กับอะไร
การได้พบกลับเหตุการณ์ที่ไม่ถูกใจเรา ไม่ได้ดั่งใจเราเป็นสุดยอดแห่งเครื่องมืออันล้ำค่า
ที่ได้ฝึกล้างกิเลส คือ ความหลงชิงชังรังเกียจ หลงยึดมั่น ถือมั่นในใจเรา และทำให้ได้ล้างวิบากร้ายของเรา
หลักการทำดีอย่างมีสุข ๖ ข้อ
๑ รู้ว่าอะไรดีที่สุด
๒ ปราถนาให้เกิดสิ่งที่ดีที่สุด
๓ ลงมือทำให้ดีที่สุด
๔ ยินดีเมื่อได้ทำให้ดีที่สุดแล้ว
๕ ไม่ติด ไม่ยึดมั่น ถือมั่นในสิ่งที่ดีที่สุด
๖ นั่นแหละ คือสิ่งที่ดีที่สุด
ทำดีให้มาก ๆ เพื่อจะให้ดีชิงออกฤทธิ์แทนร้าย
ที่เราเคยพลาดทำมา ในชาตินี้หรือชาติก่อน ๆ
จะได้มีดีไว้ใช้ ในปัจจุบันและอนาคต
ในชาตินี้และชาติอื่น ๆ สืบไป
ยึดอาศัยดีที่สามารถทำให้เกิดขึ้นได้จริง นั้นดี
แต่ยึดมั่นถือมั่นว่า ต้องเกิดดีดั่งใจหมายทั้ง ๆ ที่องค์ประกอบ
เหตุปัจจัย ณ เวลานั้น ไม่สามารถทำให้ดีนั้นเกิดขึ้นได้จริง นั้นไม่ดี
จงทำดีเต็มที่ เหนื่อยเต็มที่ สุขเต็มที่
ไม่มีอะไรคาใจ ไม่เอาอะไร คือสุดยอดแห่งความอิ่มเอิบเบิกบาน แจ่มใส
สาธุ
ทบทวนธรรม
จากอาจารย์ใจเพชร กล้าจน
เรื่องการเข้าใจผิดของเรากับผู้อื่น เราต้องระลึกรู้ว่า
มันคือวิบากกรรมเขา วิบากกรรมเรา
แก้ไขได้ด้วยการทำดี ไม่มีถือสาไปเรื่อย ๆ
แล้ววันใดวันหนึ่งข้างหน้า ในชาตินี้หรือชาติหน้า
หรือชาติอื่น ๆ สืบไป ความเข้าใจผิดนั้นก็จะหมดไปเอง
เราต้องรู้ว่าแต่ละคนมีฐานจิตแตกต่างกัน เราจึงควรประมาณการกระทำ
ให้เหมาะสมกับฐานจิตของเรา และฐานจิตของผู้อื่น “คิดดี ทำดี ไว้ก่อน ดีที่สุด”
การกระทำเดียวกันมีเหตุผล ในการกระทำกว่าล้านเหตุผล ต้องระวัง “อคติ”
หรือความเข้าใจผิด จากการคาดเดาที่ผิดของเรา
สิ่งที่เราได้รับคือสิ่งที่เราทำมา ไม่มีสิ่งใดที่เราได้รับโดยที่เราไม่เคยทำมา
ถ้าเรายังไม่เข้าใจคนอื่น แสดงว่าเรายังไม่เข้าใจตนเอง
เมื่อเกิดสิ่งเลวร้ายกับเรา ไม่มีอะไรบังเอิญ
ทุกอย่างยุติธรรมเสมอ เพราะเราเคยทำเช่นนั้น
มามากกว่านั้น เมื่อได้รับแล้วก็หมดไปเราก็จะโชคดีขึ้น
เรามีหน้าที่ทำ แต่ละสิ่งแต่ละอย่างให้อยู่ในสภาพที่ดีที่สุด
เท่าที่จะพึงทำได้ ให้โลกและเราได้อาศัยก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะดับไปเท่านั้น
เราทำดีดีด้วยการช่วยไม่ให้ คนอื่นทำผิดได้ก็ “ช่วย”
แล้ววางให้เป็นไปตามวิบากดีของเขา
ช่วยไม่ได้ก็วางเป็นตามวิบากร้ายของเขา
เมื่อเขาเห็นทุกข์จนเกินทน จึงจะเห็นธรรม แล้วจะปฏิบัติธรรมสู่ความพ้นทุกข์
เมื่อเกิดสิ่งเลวร้ายกับเรา โลกนี้ไม่มีใครผิดต่อเรา เราเท่านั้นที่ผิดต่อเรา
คนอื่นที่ทำไม่ดีนั้น เขาผิดต่อตัวเขาเองเท่านั้น
และเขาก็ต้องได้รับวิบากร้ายนั้นเอง เขาจึงไม่ได้ผิดต่อเรา
แต่เขานั้นผิดต่อตัวขาเอง
ถ้าเรายังเห็นว่า คนที่ทำไม่ดีกับเรา เป็นคนผิดต่อเรา แสดงว่าเรานั่นแหละผิด
อย่าโทษ ใครในโลกใบนี้ ผู้ใดที่โทษผู้อื่นว่าผิดต่อตัวเรา จะไม่มีทางบรรลุธรรม
นี่คือคนที่ไม่ยอมรับความจริง เพราะไม่เข้าใจเรื่อง “กรรม”
อย่างแจ่มแจ้งว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทุกคนได้รับ
ล้วนเกิดจากการกระทำของตนเองเท่านั้น
เมื่อรับผลดีร้ายจาก การกระทำแล้ว ผลนั้นก็จบดับไป
และสุดท้ายเมื่อปรินิพพาน ทุกคนก็ต้องสูญจากทั้งดีและร้ายไป
ไม่มีอะไรเป็นสมบัติของใคร เพราะสุดท้ายทุกสิ่งทุกอย่าง ก็ต้องดับไป จึงไม่ยึด ไม่ต้องทุกข์กับอะไร
การได้พบกลับเหตุการณ์ที่ไม่ถูกใจเรา ไม่ได้ดั่งใจเราเป็นสุดยอดแห่งเครื่องมืออันล้ำค่า
ที่ได้ฝึกล้างกิเลส คือ ความหลงชิงชังรังเกียจ หลงยึดมั่น ถือมั่นในใจเรา และทำให้ได้ล้างวิบากร้ายของเรา
หลักการทำดีอย่างมีสุข ๖ ข้อ
๑ รู้ว่าอะไรดีที่สุด
๒ ปราถนาให้เกิดสิ่งที่ดีที่สุด
๓ ลงมือทำให้ดีที่สุด
๔ ยินดีเมื่อได้ทำให้ดีที่สุดแล้ว
๕ ไม่ติด ไม่ยึดมั่น ถือมั่นในสิ่งที่ดีที่สุด
๖ นั่นแหละ คือสิ่งที่ดีที่สุด
ทำดีให้มาก ๆ เพื่อจะให้ดีชิงออกฤทธิ์แทนร้าย
ที่เราเคยพลาดทำมา ในชาตินี้หรือชาติก่อน ๆ
จะได้มีดีไว้ใช้ ในปัจจุบันและอนาคต
ในชาตินี้และชาติอื่น ๆ สืบไป
ยึดอาศัยดีที่สามารถทำให้เกิดขึ้นได้จริง นั้นดี
แต่ยึดมั่นถือมั่นว่า ต้องเกิดดีดั่งใจหมายทั้ง ๆ ที่องค์ประกอบ
เหตุปัจจัย ณ เวลานั้น ไม่สามารถทำให้ดีนั้นเกิดขึ้นได้จริง นั้นไม่ดี
จงทำดีเต็มที่ เหนื่อยเต็มที่ สุขเต็มที่
ไม่มีอะไรคาใจ ไม่เอาอะไร คือสุดยอดแห่งความอิ่มเอิบเบิกบาน แจ่มใส
สาธุ
ทบทวนธรรม
จากอาจารย์ใจเพชร กล้าจน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น