วันอาทิตย์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

เก่งศีลเป็นสุข


@ เก่งศีลเป็นสุข ไม่เก่งศีลเป็นทุกข์
@ ไม่เก่งศีล แต่ยิ่งเก่งงาน ยิ่งเก่งวิชาการ ยิ่งทุกข์ ยิ่งชั่ว ยิ่งโง่
@ เก่งแต่งาน เก่งแต่วิชาการ แต่ไม่เก่งศีล จะเอาสุขมาแต่ไหน มีแต่ทุกข์เท่านั้นเป็นที่ไป
@ เก่งศีล แม้จะเก่งหรือไม่เก่งงาน จะเก่งหรือไม่เก่งวิชาการ ก็เป็นสุขแท้ๆ ดีแท้ๆ อย่างมั่นคงยั่งยืน และ ถ้าเก่งศีลอย่างต่อเนื่อง มั่นคงยั่งยืน ถึงที่สุดก็จะทำให้เก่งทั้งศีล เก่งทั้งงาน และเก่งทั้งวิชาการอย่างมั่นคงยั่งยืนตลอดกาลนาน เป็นสุขแท้ๆ ดีแท้ๆ อย่างมั่นคงยั่งยืนตลอดกาลนาน
@ ต้องเก่งศีล ก่อนเก่งงานและวิชาการ จึงจะเป็นสุขได้ แต่ถ้าเก่งงานหรือวิชาการก่อนโดยไม่เก่งศีล จะไม่มีทางเก่งศีลได้และจะไม่มีทางพ้นทุกข์ได้ ไม่มีทางพบกับความผาสุกที่แท้จริงของชีวิตได้ เพราะกิเลสจะเอาความเก่งงานหรือเก่งวิชาการ ไปทำผิดศีล ไปเสพชั่วหรือเสพดีให้สมใจ สั่งสมเป็นกิเลส ความติดชั่วหรือติดดีให้มากยิ่งขึ้นๆ เกิดทุกข์ เพราะกลัวว่าจะไม่ได้เสพสมใจ วันที่ วิบากร้ายออกฤทธิ์ จะไม่ได้เสพชั่วหรือดีให้สมใจก็จะทุกข์ ซ้ำเข้าไปอีก และทำชั่วได้ทุกเรื่อง ทั้ง ยังเหนี่ยวนำให้ผู้อื่นรู้สึกแบบนั้นตาม ทำแบบนั้นตาม สั่งสมเป็นวิบากร้ายต่อตนเองและผู้อื่น จึงทำให้ชีวิตของตนเองและผู้อื่นที่มีกิเลส ผิดศีล ทุกข์ ชั่ว และโง่
@ คนที่เกิดมาแล้วเก่งงานหรือเก่งวิชาการ แต่สามารถเรียนรู้และปฏิบัติศีลได้นั้น เป็นเพราะได้เรียนรู้และปฏิบัติศีลมาตั้งแต่ชาติก่อน ชาตินี้จึงมาเรียนรู้และปฏิบัติศีลเพิ่มเติมจากชาติก่อน
@ ปัญญาศีลยอดเยี่ยมกว่าปัญญาทราม
@ ปัญญาศีลนั้นยอดเยี่ยม ส่วนปัญญาทรามนั้นยอดแย่
@ ปัญญาพาผิดศีลเป็นปัญญาทราม ปัญญาพาถูกศีลเป็นปัญญาสูง ปัญญาประเสริฐ
@ ปัญญาพาถูกศีลนั้น ชั่วไม่ทำ ทำแต่ดีที่ทำได้อย่างรู้เพียรรู้พัก ไม่มีความยึดมั่นถือมั่น เพราะเข้าใจเรื่องกรรมดีกรรมชั่วของเราและแต่ละชีวิตอย่างแจ่มแจ้ง จึงไม่มีวิบากร้าย มีแต่วิบากดี ทำให้อิ่มเอิบเบิกบานแจ่มใสตลอดกาลนาน

อาจารย์หมอเขียว
ดร.ใจเพชรกล้าจน
27 มกราคม 2561

ประวัติของพระโมคคัลลา


ประวัติของพระโมคคัลลาทำให้เข้าใจเรื่องกรรมอย่างแจ่มแจ้ง และทำให้ซาบซึ้งและหมดสงสัยกับประโยคนี้...
"ทำร้ายเขามาตั้งมากตั้งมาย ยังมีหน้ามาโกรธมาเกลียดเขาอีก มันชั่วเกินไปแล้วเรา"
ก่อนมาเจอพุทธะ ชีวิตทุกชีวิตที่หลงโง่เกิดมา ได้พลาดทำชั่วมานับน้ำตา 4 มหาสมุทร พอมาเจอพุทธะก็ต้องล้างให้หมดในกิเลสที่ได้สั่งสมมา และทุกวิบากชั่วที่ทำมาก็ต้องรับหรือ สร้างวิบากดีดันออกไปให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ประวัติของพระโมคคัลลา อัครสาวกเบื้องซ้าย
ตอนที่ถูกโจรสับเป็นชิ้นๆ ท่านก็ไปลาพระพุทธเจ้าแล้วท่านก็ยอมตายยอมให้โจรฆ่าตาย
เป็นที่กล่าวขานกันไปทั่วว่า "ไม่น่าเลย เป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย ไม่น่าจะถูกฆ่าตายเลยๆ มันไม่สมเลยไม่เหมาะสมเลยเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายแล้วถูกฆ่าตาย ไม่เหมาะสมเลยๆ" คนก็พูดโจษจันไปทั่ว
พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า ใช่ เป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายนี่ไม่เหมาะเลยที่จะถูกฆ่าตาย แบบนี้ แต่ที่พระโมคคัลลาโดน "เหมาะสมแล้วกับวิบากเก่าที่ทำมา"
กับวิบากใหม่ที่ทำกับความดีที่ทำร่วมกับพระพุทธเจ้านี่ไม่เหมาะสมเลย ไม่ได้เหมาะสมเลยที่จะถูกโจรฆ่าตายอย่างนี้
แต่เหมาะสมแล้วกับ "วิบากเก่าที่ทำมา" สิ่งร้ายที่พระโมคคัลลาได้รับ ไม่ได้เกิดจากการบำเพ็ญเป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย แต่เกิดจากการทำไม่ดีมาในชาติก่อนๆ
เพราะจากประวัติของพระโมคคัลลาสมัยไกลลิบๆๆๆๆๆๆๆ นับล้านปีไม่ถ้วน อดีตชาติของท่าน
ท่านได้ดูแลพ่อแม่ที่ตาบอดๆ พ่อแม่ก็อยากให้ท่านมีภรรยา
จึงไปหาภรรยามาให้ ภรรยามาดูแลพ่อแม่ที่ตาบอดนานเข้าๆ ก็เกิดความรำคาญไม่อยากดูแล พอรำคาญมากๆ ก็ยุสามี (พระโมคคัลลา) ให้ฆ่าพ่อแม่ ใส่ร้ายพ่อแม่ต่างๆ นาๆ สามีฯ ก็เชื่อตาม
พระโมคคัลลา หลอกพ่อแม่ว่าจะพาไปเยี่ยมญาติ บอกพ่อแม่ว่าให้ไปทางนี้ๆ เส้นทางตรงไปอย่างนี้ ตนจะคอยอารักขาให้ เพราะได้ข่าวว่ามีโจรร้าย
จากนั้นพระโมคคัลลานะก็ แสร้งทำเป็นโจรแล้วเข้ามาทำร้ายพ่อแม่
-พ่อแม่ก็บอกว่า "ลูกเอ๊ยหนีไปซะ ไม่ต้องห่วงพ่อแม่หรอก พ่อแม่แก่มากแล้ว ปล่อยให้พ่อแม่ตายไปซะ!ไม่เป็นไร ใจรมาแล้ว รีบหนีไป"
-พ่อแม่ก็รักลูกมาก บอกให้ลูกหนีไป ให้ลูกหนีไปซะ ไม่ต้องห่วงพ่อแม่
ก็คือ อดีตชาติของท่านคือหน้ามืดทุบตีพ่อแม่จนตาย ก็เป็นอนันตริยกรรม ต้องตกนรกทุกข์ทรมานแสนสาหัสนับหลายแสนปี
อนันตริยกรรมเป็นกรรมหนัก 5 ประเภท
1.ฆ่ามารดา
2.ฆ่าบิดา
3.ฆ่าพระอรหันต์
4.ทำร้ายพระพุทธเจ้าจนห้อพระโลหิต
5.ทำสงฆ์ให้แตกกัน ทำลายสงฆ์
เศษวิบากของอนันตริยกรรมที่มาถึง ทำให้พระโมคคัลลาต้องถูกฆ่าตาย
ฟังดีๆ...เศษ...วิบาก... ของชาติที่ลิบๆๆๆๆๆๆๆ ที่ได้ชดใช้ไปไม่รู้ตั้งกี่แสนปีแล้ว ใช้วิบากกรรมจนเบาบางถึงได้บำเพ็ญต่อเป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี เป็นอรหันต์แล้วบำเพ็ญโพธิสัตว์ต่อ กว่าจะมาเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายนี่ไม่ใช่ธรรมดานะ ใช้เวลาตั้งหนึ่งอสงไขยกับแสนกัป ไม่รู้กี่ล้านปี นับล้านปีไม่ถ้วน กว่าจะมาเป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย เศษ...วิบาก...ยังตามมาไล่ล่า
เพราะฉะนั้น ใครที่รู้สึกว่าตนเป็นคนดี จะได้หมดสงสัยว่า
"ทำไม ฉันก็เป็นคนดี ทำไมฉันต้องมาโดนด้วยๆ"
"คนที่ทำไม่ดีกับฉันต้องเป็นคนไม่ดีต่อฉัน แน่ๆเลย เป็นคนน่าเกลียดน่าชังสำหรับฉัน แน่ๆ เลย"
"ฉันทำดีตั้งมากตั้งมาย แล้วทำไมเขาถึงมาทำไม่ดีกับฉันๆๆ"
คนมีปฏิภาณ จะได้เลิกโทษคนอื่นเสียที ขนาดอัครสาวกเบื้องซ้าย ยังโดนอย่างนั้น เศษวิบากนะ ไม่ใช่ปีที่แล้ว ไม่ใช่ชาติที่แล้ว ไม่ใช่ชาติที่ติดกัน เป็นชาติที่ลิบๆๆๆๆๆๆๆ นับล้านปีไม่ถ้วน
-ใครฟังอันนี้เข้าใจแล้ว จะหมดสงสัยเลย ไม่ต้องไปลุ้นเลยว่าจะไม่มีเรื่องร้ายในชีวิตเรา มันมาแน่ (เพราะเราทำพลาดทำชั่วมานับน้ำตา 4 มหาสมุทร)
-ก็ขนาดพระพุทธเจ้าในปางที่ท่านพลาดทำสิ่งไม่ดีต่างๆ ไม่ใช่ชาติใกล้ๆ นะ ชาติลิบๆๆๆๆๆๆๆ นับล้านปีไม่ถ้วน ระดับพระพุทธเจ้ายังโดนเลย ลิบๆๆๆๆๆๆๆ นับล้านปีไม่ถ้วน
พระโมคคัลลานะก็ลิบๆๆๆๆๆๆๆ นับล้านปีไม่ถ้วน
ลิบๆๆๆๆๆๆๆ นับล้านปีไม่ถ้วน นี่เศษ...วิบาก...นะ ยังโดนเลย
ดังนั้น ไม่ต้องแปลกใจหรอกว่าใครที่มาทำไม่ดีกับเราอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วเรารู้สึกว่า
"ฉันทำดีมาขนาดนี้ ทำไมเธอถึงไม่เห็นความดีฉันบ้าง"
"ทำไมคนนั้นคนนี้ถึงไม่เห็นความดีฉันบ้าง"
"ทำไมคนนั้นคนนี้เขาไม่ศรัทธาเรา"
อย่าว่าแต่ศรัทธาเลย "เขาไม่ฆ่าก็บุญนักหนาแล้ว"
ฟังถึงวันนี้แล้ว ใครที่ไม่ศรัทธาคุณ คุณไม่ต้องไปน้อยใจนะ "เขาไม่ฆ่าคุณก็ดีแล้ว"
โอ๊ย "ต้องขอบคุณที่ไม่ฆ่าเรา"
เพื่อนบ้าง คนในครอบครัวบ้าง คนนั้นคนนี้บ้างที่ทำไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้กับคุณหน่อยเดียว จะเป็นจะตาย มานั่งน้อยใจ เว้าใจ แหว่งใจ "เขาไม่ฆ่าคุณก็ดีแล้ว"
ถ้าคุณเชื่อว่า "คุณชั่วมา" คุณจะไม่โกรธเขาเลย
ขนาดพระพุทธเจ้า พระโมคคัลลา ผู้มีบารมีมาก บําเพ็ญบุญกุศลมามาก ท่านชดใช้วิบากมานับหลายแสนปีแล้วนะ
ฟังแล้วจะซาบซึ้งและหมดสงสัยกับประโยคนี้
"ทำร้ายเขามาตั้งมากตั้งมาย ยังมีหน้ามาโกรธมาเกลียดเขาอีก มันชั่วเกินไปแล้วเรา"
จะได้หมดสงสัยเสียที ฟังดีๆ แล้วจะเลิกโกรธเลิกเกลียดเลิกน้อยใจได้แล้ว เลิกชิงชังรังเกียจคนนั้นคนนี้ได้แล้ว เลิกน้อยใจได้แล้ว จะน้อยใจอะไรอีก
-ทำร้ายเขามาตั้งมากตั้งมาย
"จะนัอยใจอะไรอีก"
"เขาไม่ฆ่าคุณก็ดีนักหนาแล้ว"
"ยังมีหน้ามาโกรธมาเกลียด มานัอยใจเขาอีก"
"ยังมีหน้ามาอยากเอาโน่นเอานี่จากเขาอีก"
"ยังอยากให้เขาทำดีกับเรา "
"มันชั่วเกินไปแล้วเรา"
"เขาไมฆ่าเราก็ดีนักหนาแล้ว
โดนแค่นี้ มันยังไม่เท่ากับเศษวิบากของพระโมคคัลลานะ ท่านถูกสับเป็นชิ้นๆ ท่านไม่เห็นจะโกรธเกลียดใครเลย ท่านก็รู้ว่าท่านทำชั่วมาหนักมาก ทั้งๆ ที่พ่อแม่ก็รักท่านมาก
ท่านก็เลยชัดเจนว่าโจรฆ่าท่านตายนี่ มันยังน้อย...ไป... โดนเท่านี้มันยังน้อยไป มันก็เหมาะสมแล้ว
พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าที่โดนน่ะ เหมาะสมแล้วที่โดนฆ่า แต่ไม่ได้เหมาะสมกับที่ท่านเป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย แต่ "เหมาะสมแล้ว สมควรแล้ว" จากปางที่ท่านเป็นลูกอกตัญญูที่ฆ่าพ่อแม่เมื่อปางโน้นก็ "สมควรแล้ว"
ฟังให้ดีๆ แล้วไม่ต้องไปโกรธเกลียดใคร อย่าไปน้อยใจ อย่าไปโกรธเกลียด ชิงชังคนโน้นคนนี้อีก ใครมาทำไม่ดีกับเรา เขาไม่ฆ่าเราก็ดีนักหนาแล้ว ต่อให้เขาฆ่าเรา ถ้าเราเลี่ยงไม่ออก ก็ดีนักหนาแล้ว จะได้หมดวิบากชั่วๆ ที่เราโง่ทำมา พลาดทำมา รับแล้วก็หมดไป จะได้โชคดีขึ้น ท่องไว้แค่นี้
-เพราะเราทำมามากกว่านั้น
-เพราะไม่มีใครทำร้ายเราได้ นอกจากความชั่วของเรา ไม่มีใครทำดีกับเราได้ นอกจากความดีของเรา
-เพราะเรามันแสบสุดๆ
เราจึงต้องได้รับสุดๆ
มันจะได้หมดไปสุดๆ
มันจะได้โชคดีสุดๆ
มันจะได้เป็นสุขสุดๆ
ถ้าเรามั่นใจว่าเราทำดี มั่นใจว่าเราทำดี แล้วโดน "มันก็ดีนักหนาแล้ว"
วันนี้ก็น่าจะเลิกน้อยใจได้แล้ว
ฟังให้มันชัด แล้วอย่าไปโกรธเกลียดใครอีกในโลกใบนี้ ขนาดพระพุทธเจ้าหรือ อัครสาวกเบื้องซ้ายยังพลาดเลย เราจะไปเหลืออะไร
-เมื่อมีคนทำไม่ดีกับเราให้
“ยอมเชื่อ” ว่า “ตัวชั่วมา”
“ยอมรับผลชั่ว” ที่ “ตัวทำมา”
ดังนั้น
"อย่าไปโกรธเกลียดใครอีกในโลกใบนี้"
หมอเขียว
ดร.ใจเพชร กล้าจน
8 มกราคม 2561

เป้าหมายทุกเรื่อง ถ้าต้องการให้สำเร็จเร็ว จง "อย่ายึด"
-ยิ่งยึดยิ่งไม่ได้ ยิ่งไม่ยึดยิ่งได้ ยึดเท่าไหร่ๆ ก็จะไม่ได้เท่านั้นๆ
-ยิ่งยึดยิ่งพร่อง ยิ่งยึดยิ่งช้า ยิ่งโง่ ยิ่งทุกข์ เพราะมีวิบากร้าย
-อยากได้ อย่ายึด ถ้ายึด จะไม่ได้
-ยิ่งยึดยิ่งโง่
-ยิ่งยึด เป้าหมายยิ่งสำเร็จช้า ทั้งทางโลกและทางธรรม
-ยิ่งไม่ยึด เป้าหมายยิ่งสำเร็จเร็ว ทั้งทางโลกและทางธรรม
-ยึด จะไม่พ้นกลัว จะไม่พ้นทุกข์ จะไม่ได้สุขยั่งยืน แต่ถ้าไม่ยึด จะพ้นกลัว จะพ้นทุกข์ จะได้ความสุขที่ยั่งยืน
-ยึด ทำให้ "ใจเป็นทุกข์" จะมีวิบากร้ายมาทำลาย ทำให้ไม่สำเร็จหรือสำเร็จช้าหรือสำเร็จเร็วแต่มีเรื่องร้าย เป็นบาป มีวิบากร้ายเจือ ก็ไม่สมบูรณ์ จะสำเร็จความผาสุกทางจิตวิญาณที่ยอดเยี่ยมยั่งยืนช้าที่สุด ทำให้เกิดการบาดเจ็บปวดร้าวทางจิตวิญญาณได้มากที่สุด และเป็นพลังที่ทำให้ตนหรือผู้อื่นทำชั่วได้ทุกเรื่อง
-ไม่ยึด ทำให้ "ใจเป็นสุข" มีวิบากดีมาช่วย ทำให้สำเร็จได้เร็ว เป็นบุญที่เต็มที่สุด ไม่มีวิบากร้ายเจือ จะสำเร็จเร็วที่สุด สมบูรณ์ที่สุด ไม่เกิดการบาดเจ็บปวดร้าวทางจิตวิญญาณ และเป็นพลังที่ทำให้ตนหรือผู้อื่นทำสิ่งดีได้ทุกเรื่องเมื่อถึงเวลาอันควร เป็นบุญกุศลสูงสุด
-ต้องไม่ยึดให้ได้ "จึงจะได้"
อาจารย์หมอเขียว
ดร.ใจเพชร กล้าจน
14 มกราคม 2561
@ทุกอย่างทุกการกระทำมีคลื่นแม่เหล็กที่เหนี่ยวนำให้ผู้อื่นเป็นตาม คลื่นที่ดีจะเติมเต็มกันทั้งหมด คลื่นที่ร้ายก็เติมเต็มกันทั้งหมด
พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ธรรมทั้งหลาย ย่อมหลั่งไหลสู่ธรรมทั้งหลาย" (พระไตรปิฎก เล่ม 24 ข้อ 2)
ดังนั้น น้ำย่อมไหลไปสู่น้ำ น้ำมันย่อมไหลไปสู่น้ำมัน
การทำทุกข์ทับถมตน จะไปเติมสนามแม่เหล็กแห่งความทุกข์ในตนและผู้อื่น มีพลังเหนี่ยวนำให้คนอื่นรู้สึกทุกข์ตาม จะทุกข์ไปทำไม ทำชั่วทำทุกข์ทำบาปซ้ำซ้อนไปทำไม
อย่าเอาทุกข์มาทำทุกข์
อย่าเอาทุกข์มาทำพลาด
อย่าเอาพลาดมาทำพลาด อย่าเอาพลาดมาทำทุกข์
จงเอาทุกข์เอาพลาด
มาสร้างสรรพฤติกรรมที่ดีงามผาสุกและเหมาะควรยิ่งๆขึ้นไป
อันเป็นคุณค่าประโยชน์สูงสุดต่อตนและมวลมนุษยชาติ
อาจารย์หมอเขียว
ดร.ใจเพชร กล้าจน
14 มกราคม 2561
@เมตตา คือกัมมัญญา คือชอบในประโยชน์ ชอบในการทำให้เกิดประโยชน์ เป็นสภาพยึดอาศัย คือสมาทาน คือยินดีเพียร ส่วนอุเบกขา คือปภัสรา คือยินดีวาง คือยินดีพัก
-พระอรหันต์เหลือแต่ชอบ กับไม่ชอบไม่ชัง ชอบในประโยชน์เพื่อยึดอาศัย กับชอบในความไม่ยินดียินร้ายเพื่อปล่อยวาง
-ล้างชอบชังมาสู่ความยินดีในการไม่ชอบไม่ชังในสิ่งต่างๆให้ได้ ก็จะได้รางวัลอันยอดเยี่ยมยิ่งใหญ่ที่สุดในจักวาล คือจะสามารถชอบทุกสิ่งทุกอย่างในมหาจักรวาลได้ เพราะจะมีปัญญาหาเอาประโยชน์ได้ในทุกสิ่งทุกอย่างอย่างถูกหลักการของบุญกุศล ใจจึงเป็นสุขได้ตลอดเวลา
สิ่งดีๆ หรือการทำดี ก็ยึดอาศัยด้วยใจที่เป็นสุขเพราะเป็นประโยชน์
แม้เลี่ยงไม่ออกที่ต้องประสบกับสิ่งร้ายก็ยังมีปัญญาเอาประโยชน์ได้อย่างถูกหลักการของบุญกุศล ใจจึงเป็นสุข
และเมื่อเพียรทำดีที่ทำได้อย่างเต็มที่แล้วถึงเวลาอันเหมาะควรที่ควรวางก็วางได้ด้วยใจที่เป็นสุขเพราะเข้าใจเรื่องกรรมดีกรรมชั่วอย่างแจ่มแจ้ง จึงชอบหรือยินดีในการปล่อยวางให้เป็นไปตามสัจจะคือวิบากดีร้ายของแต่ละชีวิต จึงอิ่มเอิบเบิกบานแจ่มใสสุขสบายใจที่สุดในโลกอย่างยั่งยืน
อาจารย์หมอเขียว
ดร.ใจเพชร กล้าจน
14 มกราคม 2561
ต้องเข้าใจเรื่องกรรมดีกรรมชั่วอย่างแจ่มแจ้งจึงจะล้างชอบชังได้ เมื่อเข้าใจเรื่องกรรมดีกรรมชั่วอย่างแจ่มแจ้งแล้ว ให้ทำ 3 ขั้นตอนคือ
1. ล้างชอบชัง
2. วางความยึดมั่นถือมั่นให้สิ้นเกลี้ยง ว่าสิ่งดีร้ายใดๆจะเกิดจะดับก็ได้ตามวิบากดีร้ายของแต่ละชีวิต
3. แล้วจึงจะยึดก็ได้ วางก็ได้ สบายใจจริง คือยึดอาศัยประโยชน์ในสิ่งต่างๆไม่ว่าจะดีหรือร้าย และวางเมื่อสิ่งนั้นดับไป วางในการทำสิ่งชั่ว ยึดทำดีที่ฟ้าเปิด (สัปปายะ) คือเส้นทางโปร่งโล่งหรือมีอุปสรรคบ้างแต่พอลุยไปได้ ไม่ทำดีหรือวางดีที่ฟ้าปิด (อัตตกิลมถะ) คือ เส้นทางฝืดฝืนเกิน ลำบากเกิน ทรมานเกิน เสียหายเกิน แตกร้าวเกิน
-รู้ไตรลักษณ์ (ความไม่เท่ี่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีตัวตน) ที่ลึกซึ้งคือรู้จนถึงระดับวิบากกรรม รู้เหตุแห่งทุกข์คือชอบชัง รู้ผลของทุกข์อันเกิดจากชอบชังคือถ้าได้สมชอบชังก็ได้สุขปลอมสุขเทียมเก็บไม่ได้แค่เคยจำไม่มีสาระ รู้ชัดว่าชอบชังจะสั่งสมเป็นวิบากร้ายไล่ล่าโหมกระหน่ำนำความกลัว โรคและเรื่องร้ายมาให้ตนและผู้อื่นตลอดเวลา
-ต้องรู้นามรูป แยกเวทนา 2 ให้ได้
1. ต้องรู้รูปของนามที่ชัดที่สุดคือความรู้สึกสุขทุกข์ในใจว่ากลัวหรือไม่กลัว ทุกข์หรือไม่ทุกข์ เบิกบานหรือไม่เบิกบาน เพราะใจเป็นประธานของสิ่งทั้งปวง ถ้าใจทุกข์ก็เป็นทุกข์ที่ทุกข์ที่สุดในโลก ถ้าพบทุกข์ใจก็แก้ด้วยการพิจารณาไตรลักษณ์ของกิเลสและประโยชน์ของการไม่มีกิเลส
2. อาการทางร่างกาย สบายหรือไม่สบายกาย ซึ่งก็จะไม่แรงเท่าทุกข์ในจิตที่ยึดมั่นถือมั่น ถ้าพบทุกข์ทางกาย ก็แก้ไขด้วยปรับสมดุลร้อนเย็นหรือวิธีการอื่นๆที่เหมาะสม
ส่วนทุกข์เพราะเหตุการณ์ต่างๆ ถ้าพบปัญหาก็แก้ปัญหาไปตามสถานการณ์
การแก้ทุกข์ทั้งหมดก็ทำควบคู่ไปกับการบำเพ็ญกุศลช่วยเหลือผู้อื่น
-ทุกข์ย่อมไม่ตกถึงผู้ที่เข้าใจ เชื่อและชัดเรื่องกรรมอย่างแจ่มแจ้ง
-ผู้ที่เข้าใจ เชื่อและชัดเรื่องกรรมอย่างแจ่มแจ้ง จะเอาทุกข์มาแต่ไหน
-กลัว ชั่ว ทุกข์ คือ โง่
-ปัญญาที่ยังไม่เชื่อ ไม่ชัด ไม่เข้าใจเรื่องกรรมอย่างแจ่มแจ้ง จึงยังโง่อยู่ ชั่วอยู่ ทุกข์อยู่
-ความเข้าใจในเรื่องกรรมอย่างแจ่มแจ้ง เป็นรหัสเป็นปัญญาที่จำเป็นที่สุด สำคัญที่สุด มีฤทธิ์ที่สุดในการดับทุกข์ ในการคลายความยึดมั่นถือมั่น ในการเข้าสู่ความผาสุกที่แท้จริง
-ความเชืี่อความชัดเรื่องกรรมเท่านั้นจึงจะคลายความยึดมั่นถือมั่นได้
-ความไม่เชื่อไม่ชัดเรื่องกรรมทำให้ยึดมั่นถือมั่นทำให้เป็นทุกข์ ส่วนความเชื่อความชัดเรื่องกรรมทำให้ไม่ยึดมั่นถือมั่นทำให้เป็นสุข
-โศลกพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ที่กล่าวว่า "ทำดียังไม่ได้ดี เพราะทำดียังไม่มากพอ" มี 2 ความหมาย
1. ทำดียังน้อยอยู่
2. ทำดียังไม่บริสุทธิ์มากพอจนถึงขั้นล้างความชอบชัง ล้างความยึดมั่นถือมั่นได้ (อโยนิโสมนสิการ-ยังทำการล้างเหตุแห่งทุกข์ไม่แยบคายจนถึงจิตที่ถูกตรง)
อาจารย์หมอเขียว
ดร.ใจเพชร กล้าจน
14 มกราคม 2561

วาทะแห่งปี 2561

#วาทะแห่งปี 2561

จากใจครูสู่ลูกศิษย์
คำตอบของชีวิต
คู่มือดับทุกข์
"คำคมเพชรจากใจเพชร" คือ คำคมที่มีความคมในการตัดทุกข์ เป็นคำที่ทำให้กลัว ชั่ว ทุกข์ในใจตาย ทำให้เกิดดีแท้ๆและสุขแท้ๆ อันยอดเยี่ยมยั่งยืน
จาก อาจารย์หมอเขียว
ดร.ใจเพชร กล้าจน
@แต่ละชีวิตจะมีสภาพ
ทุกข์เท่าที่โง่ โง่เท่าที่ทุกข์
โกรธเท่าที่โง่ โง่เท่าที่โกรธ
โลภเท่าที่โง่ โง่เท่าที่โลภ
ยึดเท่าที่โง่ โง่เท่าที่ยึด
กลัวเท่าที่โง่ โง่เท่าที่กลัว
ชั่วเท่าที่โง่ โง่เท่าที่ชั่ว
ไม่ทุกข์เท่าที่ฉลาด ฉลาดเท่าที่ไม่ทุกข์
ไม่โกรธเท่าที่ฉลาด ฉลาดเท่าที่ไม่โกรธ
ไม่โลภเท่าที่ฉลาด ฉลาดเท่าที่ไม่โลภ
ไม่ยึดเท่าที่ฉลาด ฉลาดเท่าที่ไม่ยึด
ไม่กลัวเท่าที่ฉลาด ฉลาดเท่าที่ไม่กลัว
ไม่ชั่วเท่าที่ฉลาด ฉลาดเท่าที่ไม่ชั่ว
@ในโลกนี้ ไม่มีอะไรเที่ยง ไม่มีอะไรที่เราควบคุมได้
ไม่มีอะไรที่เรากำหนดไ้ด้
นอกจากใจที่ไม่ทุกข์ของเราเท่านั้น ที่เรากำหนดได้
@คนโง่ไม่มีปัญญาที่พาพ้นทุกข์ จะไม่มีศรัทธาและศีลที่ถูกตรง
ส่วนคนที่มีศรัทธาและศีลที่ถูกตรง ก็จะมีปัญญาที่พาพ้นทุกข์
และคนที่มีปัญญาที่พาพ้นทุกข์ ก็จะศรัทธาและศีลที่ถูกตรง
@คนมีปัญญา จะไม่มีปัญญาหาเหตุผลให้ตนกลัว ชั่ว ทุกข์ แต่จะมีปัญญาหาเหตุผลให้ตนพ้นกลัว พ้นชั่ว พ้นทุกข์
@คนไม่มีปัญญา จะมีปัญญาหาเหตุผลให้ตนกลัว ชั่ว ทุกข์ แต่จะไม่มีปัญญาหาเหตุผลให้ตนพ้นกลัว พ้นชั่ว พ้นทุกข์
@ในโลกนี้ ไม่มีอะไรสำคัญเท่า "การดับทุกข์ใจให้ได้"
@เมื่อมีคำถามว่า "ตัั้งใจทำดี ทำไมถึงได้เท่านี้?"
ให้ตอบว่า "เพราะทำชั่วมามาก"
เมื่อถามต่ออีกว่า
"แล้วจะทำอย่างไรดี"
ให้ตอบว่า "จงมีความสุขกับการทำดีเรื่อยไป ใจเย็นข้ามชาติ"
@เมื่อเกิดเรื่องที่เรารู้สึกไม่ดี โดยสัจจะแสดงว่า เราทำหรือส่งเสริมสิ่งผิดสิ่งไม่ดีมา ในชาตินี้หรือชาติก่อนๆ เมื่อทำผิดแล้วไม่ยอมรับผิด จะเป็นวิบากร้ายใหม่ที่ทำให้
วิบากร้ายเก่าที่รับก็ไม่มีวันหมดเกลี้ยงได้ง่าย ไม่มีวันหมดเกลี้ยงได้เร็ว แต่จะหมดเกลี้ยงได้ยาก และหมดเกลี้ยงได้ช้า และวิบากร้ายใหม่ก็จะเพิ่มอย่างไม่มีวันสิ้นสุด
@การไม่สารภาพผิดจะเพิ่มฤทธิ์วิบากร้าย แต่การสารภาพผิดลดฤทธิ์วิบากร้าย เพิ่มฤทธิ์วิบากดี
@คนโง่เท่านั้นที่ไม่ยอมรับผิด ไม่ยอมสารภาพผิด ไม่ยอมสำนึกผิด
@การยอมรับความจริงตามความเป็นจริง ด้วยการ
สำนึกผิด สารภาพผิด ยอมรับผิด เต็มใจรับโทษ ขอโทษ ขออโหสิกรรม ตั้งจิตหยุดสิ่งที่ไม่ดี ตั้งจิตทำสิ่งที่ดี คือลดกิเลสและช่วยเหลือผู้อื่นให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้วยความยินดีจริงใจ เป็นสุดยอดแห่งพลังความดี ที่ทำให้
1. ใจไม่ทุกข์
2. ดันเรื่องร้ายออกไปได้มากที่สุด
3. ดูดสิ่งดีเข้ามาสู่ชีวิตได้มากที่สุด
4. รับร้ายแล้วร้ายก็หมดไป เราก็จะโชคดีขึ้น
5. ได้เป็นตัวอย่างที่ดีที่ถูกตรงสู่ความพ้นทุกข์เพื่อประโยชน์สุขที่แท้จริงอันยอดเยี่ยมยั่งยืนที่สุดต่อตนและมวลมนุษยชาติ
เป้าหมายทุกเรื่อง ถ้าต้องการให้สำเร็จเร็ว จง "อย่ายึด"
-ยิ่งยึดยิ่งไม่ได้ ยิ่งไม่ยึดยิ่งได้ ยึดเท่าไหร่ๆ ก็จะไม่ได้เท่านั้นๆ
-ยิ่งยึดยิ่งพร่อง ยิ่งยึดยิ่งช้า ยิ่งโง่ ยิ่งทุกข์ เพราะยึดคือวิบากร้าย
-อยากได้ อย่ายึด ถ้ายึด จะไม่ได้
-ยิ่งยึด ยิ่งโง่ ยิ่งซวย
-ยิ่งยึด เป้าหมายยิ่งสำเร็จช้า ทั้งทางโลกและทางธรรม
-ยิ่งไม่ยึด เป้าหมายยิ่งสำเร็จเร็ว ทั้งทางโลกและทางธรรม
-ยึด จะไม่พ้นกลัว จะไม่พ้นทุกข์ จะไม่ได้สุขยั่งยืน แต่ถ้าไม่ยึด จะพ้นกลัว จะพ้นทุกข์ จะได้ความสุขที่ยั่งยืน
-ยึด ทำให้ "ใจเป็นทุกข์" จะมีวิบากร้ายมาทำลาย ทำให้ไม่สำเร็จหรือสำเร็จช้าหรือสำเร็จเร็วแต่มีเรื่องร้าย เป็นบาป มีวิบากร้ายเจือ ผลไม่สมบูรณ์ จะสำเร็จความผาสุกทางจิตวิญาณที่ยอดเยี่ยมยั่งยืนช้าที่สุด ทำให้เกิดการบาดเจ็บปวดร้าวทางจิตวิญญาณได้มากที่สุด และเป็นพลังที่ทำให้ตนหรือผู้อื่นทำชั่วได้ทุกเรื่อง
-ไม่ยึด จะทำให้ "ใจเป็นสุข" จะมีวิบากดีมาช่วย ทำให้สำเร็จได้เร็ว เป็นบุญที่เต็มที่สุด ไม่มีวิบากร้ายเจือ จะสำเร็จเร็วที่สุด สมบูรณ์ที่สุด ไม่เกิดการบาดเจ็บปวดร้าวทางจิตวิญญาณ และเป็นพลังที่ทำให้ตนหรือผู้อื่นทำสิ่งดีได้ทุกเรื่องเมื่อถึงเวลาอันควร เป็นบุญกุศลสูงสุด
-ต้องไม่ยึดให้ได้ "จึงจะได้"
-ทุกข์ย่อมไม่ตกถึงผู้ที่เข้าใจ เชื่อและชัดเรื่องกรรมอย่างแจ่มแจ้ง
-ผู้ที่เข้าใจ เชื่อและชัดเรื่องกรรมอย่างแจ่มแจ้ง จะเอาทุกข์มาแต่ไหน
-คนที่เชื่อและชัดเรื่องกรรมจะไม่ทำชั่ว จะทำแต่ดี
-คนไม่เชื่อไม่ชัดเรื่องกรรมจะทำชั่ว
-คนที่ยังไม่เชื่อ ไม่ชัด ไม่เข้าใจเรื่องกรรมอย่างแจ่มแจ้ง จะยังโง่อยู่ ชั่วอยู่ ทุกข์อยู่ "กลัว ชั่ว ทุกข์ คือโง่"
-ความเข้าใจในเรื่องกรรมอย่างแจ่มแจ้ง เป็นรหัสเป็นปัญญาที่จำเป็นที่สุด สำคัญที่สุด มีฤทธิ์ที่สุดในการดับทุกข์ ในการคลายความยึดมั่นถือมั่น ในการเข้าสู่ความผาสุกที่แท้จริง
-ความเชืี่อความชัดเรื่องกรรมเท่านั้นจึงจะคลายความยึดมั่นถือมั่นได้
-ความไม่เชื่อไม่ชัดเรื่องกรรมทำให้ยึดมั่นถือมั่น ทำให้เป็นทุกข์ ส่วนความเชื่อความชัดเรื่องกรรมทำให้ไม่ยึดมั่นถือมั่น ทำให้เป็นสุข
-สุขจากการให้ด้วยใจที่บริสุทธิ์ ยอดเยี่ยมยิ่งใหญ่กว่าการเอา
-สุขจากให้ด้วยใจที่บริสุทธิ์ สุขสบายใจที่สุดในโลก เป็นสุขที่สุขที่สุดในโลก
"คุกที่แท้จริง คือ กิเลส
เป็นทุกข์ตัวแท้ที่คอยกักขัง ความทุกข์และความชั่วในใจคน"
"ทำดีทุกครั้ง "ชนะทุกครั้ง"
"ทุกอย่างล้มเหลวได้ แต่ "ใจ" ล้มเหลวไม่ได้"
"ปัญหา คือ เครื่องมือฝึกใจที่ดีที่สุดในโลก"
"ปัญหาไม่เคยหมดไปจากชีวิตของเรา มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่หมดไปจากใจของเรา"
"โจทย์ทุกโจทย์ เหตุการณ์เหตุการณ์ เป็นเครื่องมือฝึกจิตของเรา ให้เป็นสุขอย่างถูกต้องตามธรรม"
"เจอผัสสะไม่ดี ได้โชค 3 ชั้น คือ ได้เห็นทุกข์ ได้ล้างทุกข์ และได้ใช้วิบากกรรมเก่าที่ไม่ดี ร้ายนั้นก็จะหมดไป ดีก็จะออกฤทธิ์ได้มากขึ้น"
"เกิดเป็นคน ต้องฝึกยิ้มรับสิ่งดีสิ่งร้ายให้ได้ ด้วยใจที่เป็นสุข"
"คุณค่าและความผาสุกของการเป็นคน คือ การพึ่งตนและช่วยเหลือคนให้พ้นทุกข์"
"แก้ปัญหาทุกข์ของชีวิตเราได้ ก็จะสามารถช่วยแก้ทุกข์ของผู้อื่นได้"
"ถ้าชนะความ "กลัวตาย" "กลัวโรค" เร่งผล" กังวล ได้ อย่างอื่นง่ายหมด"
"คนที่ทำงานลงตัวตลอดไม่มีปัญหาใดๆ คือ คนที่ซวยที่สุดในโลก"
"ทำดีถูกด่าให้ได้ ถูกแกล้งให้ได้ ถูกนินทาให้ได้ ถูกว่าให้ได้ ถูกเข้าใจผิดให้ได้ ถูกทำไม่ดีสารพัดเรื่องให้ได้ เพราะเราทำมาทั้งนั้น"
"ทำดีแล้ว ยังถูกเรื่องร้ายวิบากบาปเล่นงานหนัก แสดงว่าชาติก่อนเราทำบาปมาก เราแสบมาก เราแสบสุดๆ มันก็จะต้องรับสุดๆ มันจะได้หมดไปสุดๆ เราจะได้เป็นสุขสุดๆ"
"อย่าสร้างความสุขให้กับตน ด้วยการสร้างความทุกข์ให้กับผู้อื่น"
"ถามว่า เกิดมาทำไม
ตอบ เกิดมาเพื่อฝึกฝนการสร้างความผาสุกที่แท้จริงให้กับตนเองและผู้อื่น"
"ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ดีที่สุดแล้ว" (Everything happened for the best)
"ความสุขแท้ คือไม่ทุกข์ ไม่ว่าจะเกิดอะไร ในสถานการณ์ใด"
"ชีวิตที่มั่นคง คือ ชีวิตที่ให้และเสียสละอย่างแท้จริง"
"จงทำดีเต็มที่ เหนื่อยเต็มที่ สุขเต็มที่ ไม่มีอะไรคาใจ ไม่เอาอะไร คือ สุดยอดแห่ง ความอิ่มเอิบ เบิกบานแจ่มใส"
อาจารย์หมอเขียว
ดร.ใจเพชร กล้าจน
๑๗ มกราคม ๒๕๖๑

วันอังคารที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ทำทุกสิ่งทุกอย่างให้อยู่ในสภาพที่ดีที่สุด(6)

เรามีหน้าที่ทำทุกสิ่งทุกอย่างให้อยู่ในสภาพที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ตามบาปบุญของเราและโลกเพื่อให้เราและโลกได้อาศัยก่อนที่ทุกอย่างจะดับไปเท่านั้น แต่ถ้าเราโกรธทำรุนแรงกับฝ่ายตรงกันข้าม ทั้งฝ่ายเราและเขาก็จะโกรธแค้นทำร้ายกันไปมา ไม่มีฝ่ายใดปลอดภัย ไม่มีฝ่ายใดเป็นสุข ตรงกันข้ามถ้าเราชนะความโกรธของเราได้ก็จะนำความผาสุกมาสู่ผองชนทุกฝ่าย เป็นต้น ใช้เทคนิคการตัดสิ่งที่เป็นพิษด้วยจิตที่เป็นสุข คือ พิจารณาความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์โทษภัยผลเสีย และความไม่มีตัวตนแท้ ของการกระทำทางกายวาจาใจหรือการเสพติดยึดสิ่งที่เป็นโทษภัยนั้นๆ จะทำให้หลุดพ้นจากการติดยึดในเหตุแห่งทุกข์นั้น(พระไตรปิฎก เล่ม ๑๗ ข้อ ๘๔-๘๖) พิจารณาประโยชน์ของการไม่เสพไม่ติดไม่ยึดไม่กระทำทางกายวาจาใจในสิ่งที่เป็นโทษภัยนั้นๆหันมาทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แทน ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “บัณฑิตย่อมเว้นสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ ถึงเอาแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์” (พระไตรปิฎก เล่ม ๒๑ ข้อ ๔๒) โดยพิจารณาซ้ำๆหลายครั้งดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “การทบทวนธรรมทำให้หลุดพ้นจากทุกข์”(พระไตรปิฎก เล่ม ๒๒ ข้อ ๒๖) “คนจะพ้นทุกข์ได้เพราะความเพียร”(พระไตรปิฎก เล่ม ๑๐ ข้อ ๒๐๐) จนพลังติดยึดในสุขลวงสุขชั่วคราวสุขไม่ยั่งยืนของกิเลสอันเป็นเหตุแห่งทุกข์จริงนั้นถูกทำลาย จนเกิดความรู้สึกสุขที่แท้จริงขึ้น เป็นความสุขสบายใจที่ไม่ต้องสร้างภัยใส่ชีวิตตนเองและผู้อื่น เป็นความสุขสบายใจที่จะได้ใช้ชีวิตตนทำประโยชน์แท้ต่อตนเองและผู้อื่น โดยทำอย่างรู้เพียรรู้พักไปเรื่อย (พระไตรปิฎกเล่ม ๑๕ ข้อ ๒) นี้คือเทคนิคการเพิ่มอธิศีลซึ่งเป็นวิถีทางที่ทำให้ชนะได้เร็วที่สุด
ถ้าระบอบทักษิณมีอำนาจเขาจะบังคับหรือหลอกใช้ประชาชนหรือข้าราชการทุกหมู่เหล่ารวมถึงองค์กรอิสระด้วยอามิสสินจ้างรางวัลให้ทำชั่วตามที่ระบอบทักษิณต้องการ และด้วยนิสัยใจดำอำมหิตโหดร้ายของเขา เมื่อผู้ที่ทำงานให้ระบอบทักษิณนั้น รู้ความลับที่ไม่ดีของเขามากๆ เขาจะฆ่าปิดปากเพื่อป้องกันการเปิดเผยความชั่วของเขา หรือผู้ที่ถูกบังคับหรือหลอกใช้นั้น ก็จะหาทางฆ่าเขาก่อนเพื่อป้องกันการถูกฆ่าปิดปาก สถานการณ์ดังกล่าว จะทำให้ประชาชน ข้าราชการทุกหมู่เหล่า องค์กรอิสระ รวมทั้งคนในระบอบทักษิณ ก็จะตกอยู่ในภาวะอันตรายด้วยกันทั้งหมด โดยเฉพาะทุกคนในระบอบทักษิณเองก็ต้องระวังภัยจากการเข่นฆ่าเพื่อแย่งชิงอำนาจกันเอง เป็นอันตรายต่อกลุ่มเขาเองอีกด้านหนึ่ง เพราะทุกคนต่างมีกิเลสหลงใหลในอำนาจ ลาภ ยศ สรรเสริญ กาม เกียรติ เป็นต้น ระบอบกิเลสดังกล่าวทุกฝ่ายจึงยากที่จะอยู่เย็นเป็นสุขได้ สุดท้ายของระบอบทักษิณที่เต็มไปด้วยกิเลสผิดศีลธรรมจะทำลายตนเองจนพินาศ(จักวัตติสูตร) โดยที่ประชาชนคนดีที่ได้พยายามช่วยเหลือสังคมไม่ให้เดือดร้อนอย่างเต็มที่แล้ว ถ้าช่วยไม่ได้ก็จะดำรงชีวิตอย่างปลอดภัยอยู่ในกลุ่มของตัวเอง ปล่อยให้สังคมแห่งกิเลสทำลายตนเองจนพินาศไป แล้วค่อยสร้างสังคมที่ดีงามใหม่สืบไป
 สถานการณ์ของคนที่ร่วมกับระบอบทักษิณจะเป็นเหมือนคนที่หลงไปทำงานในหมู่โจรแล้วยังไม่สามารถออกมาได้ รวมถึงยิ่งลักษณ์ ชินวัตรด้วย ที่ต้องทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสกว่าคนอื่นๆ แต่ก็ไม่สามารถออกจากระบอบทักษิณได้ คนอื่นๆในระบอบทักษิณก็ตกอยู่ในชะตากรรมเช่นเดียวกัน คือ จะอยู่ต่อก็เสี่ยงต่อการถูกดำเนินการทางกฎหมาย กฎสังคม กฎแห่งกรรม หรือถูกฆ่าปิดปากป้องกันความลับที่ไม่ดีรั่วไหล จะเลิกราออกมาก็เสี่ยงต่อการถูกฆ่าปิดปาก พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าอย่าคบคนชั่วจะนำทุกข์มาให้ และทางพ้นทุกข์นั้นพระพุทธเจ้าตรัสว่าอย่าคบคนชั่วให้คบคนดี(อวิชชาสูตร) ดังนั้นทางที่ดีต้องหาทางเลิกราออกมา จะเสี่ยงด้านเดียวคือเสี่ยงต่อการถูกฆ่าปิดปาก แต่ก็อาจรอดได้ และโทษภัยจะได้น้อยลงทุกวันๆ ถ้าทำดีมากๆพระพุทธเจ้าตรัสว่ากุศลสามารถทำให้อกุศลเบาบางได้ แต่ถ้าอยู่ในกลุ่มไม่ดีต่อไปก็มีแต่อันตรายรอบด้านที่มากขึ้นทุกวันๆ
พระพุทธเจ้าพบสัจจะว่าสรรพสิ่งในมหาจักรวาลสัมพันธ์กันด้วยหลักนิยาม 5 ปฎิจจสมุปบาท(อนุโลม) 11 การดับทุกข์ที่ต้นเหตุจะทำให้ทุกข์ดับและเกิดความสุขขึ้น ด้วยการปฏิบัติในหมู่มิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดีเป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของการพ้นทุกข์ อรรถกถาแปล เล่ม 76 หน้า 81 นิยาม 5 อย่าง คือ อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยาม สำหรับปฎิจจสมุปบาท(อนุโลม) 11 คือ การอาศัยกันและกันเกิดขึ้น (เป็นไปตามลำดับ) เพราะอวิชชา (ความหลงผิดไม่รู้กิเลส) เป็นปัจจัย (เหตุ) จึงมี สังขาร (สภาพปรุงแต่งกายวาจาใจสังขาร จึงมี วิญญาณ (ความรู้แจ้งอารมณ์จิตวิญญาณ จึงมี นามรูป (ตัวรู้และตัวถูกรู้นามรูป จึงมี สฬายตนะ (สื่อติดต่อ ๖ อย่าง คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจสฬายตนะ จึงมี ผัสสะ (สัมผัสผัสสะ จึงมี เวทนา (ความรู้สึก)เวทนา จึงมี ตัณหา (ความดิ้นรนปรารถนาตัณหา จึงมี อุปาทาน (ความยึดมั่นถือมั่นอุปาทาน จึงมี ภพ (ที่อาศัยภพ จึงมี ชาติ (การเกิดชาติ จึงมี ชรา (ความแก่) มรณะ (ความตาย) โสกะ (ความเศร้าโศก) ปริเทวะ (คร่ำครวญรำพัน) ทุกข์ (ไม่สบาย) โทมนัส (เสียใจ) อุปายาส (ความคับแค้นใจ)กองทุกข์ทั้งมวลนั้นย่อมเกิด ด้วยประการฉะนี้ (พระไตรปิฎก เล่ม 4“มหาขันธกะข้อ 1) ละเหตุทุกข์ได้เป็นสุขในที่ทั้งปวง (พระไตรปิฎก เล่ม25 ข้อ 59), ละทุกข์ทั้งปวงได้ เป็นความสุข (พระไตรปิฎก เล่ม 25 ข้อ 33) พระไตรปิฎก เล่ม 19 ข้อ 5 อุปัฑฒสูตร ความเป็นผู้มีมิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดีเป็นพรหมจรรย์(ความพ้นทุกข์)ทั้งสิ้น
จากการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าดังกล่าว จะเห็นได้ว่า สิ่งที่หมุนวนสัมพันธ์กันในมหาจักรวาลเริ่มต้นจากอุตุนิยาม คือ วัตถุและพลังงาน เช่น ดินน้ำลมไฟ พลังงานความร้อนเย็น แม่เหล็ก ไฟฟ้า แสง สี เสียง คลื่น เป็นต้น เคลื่อนผสมผสานสังเคราะห์กันตามหลักวิทยาศาสตร์ คือ พลังงานร้อนเย็นเคลื่อนผสมผสานสังเคราะห์กันเป็นธาตุใหม่ พัฒนาเป็นพีชนิยาม คือ สิ่งมีชีวิตระดับพืช อุตุกับพีชสังเคราะห์กันพัฒนาต่อเป็นจิตนิยาม คือ สิ่งมีชีวิตระดับสัตว์ ตั้งแต่สัตว์ชั้นต่ำพัฒนาขึ้นไปเป็นลำดับจนเป็นสัตว์ชั้นสูงคือคน ชีวิตระดับจิตนิยาม จะมีการกระทำและผลของการกระทำ(วิบากกรรม)ของแต่ละชีวิต คือ กรรมนิยาม และพัฒนาไปสู่การกระทำที่ส่งผลที่ดีที่สุดต่อตนเองและผู้อื่น คือ ธรรมนิยาม ซึ่งนิยาม 5 นั้น จะสังเคราะห์สัมพันธ์กันเป็นเหตุแห่งทุกข์ตามลำดับด้วยหลักปฎิจจสมุปบาท(อนุโลม) 11 เกิดเป็นกองทุกข์ทั้งมวล และเมื่อดับเหตุแห่งทุกข์ในหมู่มิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดีก็จะทำให้ทุกข์ดับซึ่งก็คือความเป็นสุขนั้นเอง
โดยหลักวิทยาศาสตร์แล้วเมื่อวัตถุทุกอย่างแตกสลายจะกลายเป็นพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า เมื่อพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าสังเคราะห์รวมกันจะเป็นวัตถุ เป็นสภาพแปรเปลี่ยนหมุนวนไปมาตราบชั่วกาลนาน ซึ่งตรงกับที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ทุกอย่างไม่เที่ยงเป็นทุกข์ไม่มีตัวตน (พระไตรปิฎก เล่ม ๑๗ ข้อ ๘๔-๘๖) จะเห็นได้ว่า ส่วนประกอบหลักของมหาจักวาลประกอบด้วยพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า พัฒนาจนเป็นชีวิตคน แสดงว่าชีวิตคนเป็นพลังแม่เหล็กไฟฟ้า พระพุทธเจ้าพบว่า “ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้ว มีอยู่” (พระไตรปิฎก เล่ม ๑๔ มหาจัตตารีสกสูตรข้อ ๒๕๗) “ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราไม่กล่าวความที่กรรม(การกระทำ)อันเป็นไปด้วยสัญเจตนา(ความจงใจ) ที่บุคคลทำแล้ว สะสมแล้วจะสิ้นสุดไป เพราะมิได้เสวยผล แต่กรรม(การกระทำ)นั้นแล จะให้ผลในทิฏฐธรรมเทียว(ภพนี้) หรือในภพถัดไป หรือในภพอื่นสืบๆ ไป” (พระไตรปิฎก เล่ม 37 ข้อ 1698) ดังนั้น จะเห็นได้ว่า เมื่อคนกระทำสิ่งใดทางกายวาจาใจ(กายกรรมวจีกรรมมโนกรรม) ดีหรือชั่วก็ตาม ก็จะสั่งสมเป็นวิบากกรรมดีหรือชั่วตามนั้น วิบากกรรมคือพลังที่สร้างผลดีหรือร้ายให้กับแต่ละชีวิต ในภพชาตินี้ หรือภพชาติอื่นๆสืบไป เมื่อจิตวิญญาณเป็นพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าแห่งชีวิตที่ไปได้ไกล (ทูรังคมัง) (พระไตรปิฎกเล่ม ๙ เกวัฏฏสูตรข้อ ๓๕๐) จึงสามารถดูดดึงชีวิตวัตถุหรือพลังงานต่างๆซึ่งส่วนประกอบหลักคือแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นมาสังเคราะห์เป็นสิ่งดีหรือร้ายสู่ชีวิต รวมทั้งดูดดึงสิ่งที่มีคุณสมบัติแบบเดียวกันเข้ามาหากัน เพราะทุกอย่างในมหาจักรวาลมีพลังแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นส่วนประกอบ
พระพุทธเจ้านั้นบำเพ็ญต่อสู้กับความเลวร้ายของคนในโลกด้วยเมตตาปรารถนาให้เกิดสิ่งที่ดีแท้กับทุกฝ่ายทั้งดีและไม่ดี ใช้เวลาบำเพ็ญถึงสี่อสงไขหนึ่งแสนกัป คือ เกิดตายๆนับล้านปีไม่ถ้วน บางปางในอดีตชาติที่พระองค์บำเพ็ญความดี ก็ถูกคนร้ายฆ่าตาย แต่ชีวิตอันคือจิตวิญญาณของพระองค์ไม่เคยตายไปจากความดี แต่พลังความดีแห่งมหากุศลนั้นกลับเกิดเบ่งบานในชีวิตจิตวิญาณของพระองค์มากยิ่งขึ้นๆ ขณะเดียวกันพลังความดีนั้นได้แผ่ไพศาลไปถึงจิตวิญญาณดวงอื่นๆให้เกิดมีพลังแห่งความดีมากยิ่งขึ้นๆ เป็นแบบอย่างของความดีงามที่น่าเคารพศรัทธาชื่นชมอิ่มเอิบและภาคภูมิใจยิ่งอย่างแท้จริงต่อผู้ที่บำเพ็ญความดีนั้นและผู้ที่รับรู้เรื่องราวนั้น บำเพ็ญด้วยความแกล้วกล้าอาจหาญแต่ไม่กร่าง แข็งแกร่งแต่ไม่แข็งกระด้าง อ่อนน้อมอ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ กล้าแต่   ไม่บ้าบิ่น ไม่ประมาทใช้ปัญญาระมัดระวังเพื่อไม่ให้เกิดอันตรายต่อตนเองและผู้อื่นให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทำดีอย่างรอบคอบระมัดระวังแต่ก็ไม่ระแวงจนกลัวจนทุกข์ เพราะมีปัญญารู้ว่าไม่มีอะไรเป็นประโยชน์สุขสูงสุดต่อตนเองและผู้อื่นเท่ากับการทำความดีให้ได้มากที่สุด เมื่อได้พยายามทำดีอย่างเต็มที่แล้วด้วยความรอบคอบระมัดระวังที่สุดที่จะไม่ให้เกิดอันตรายเท่าที่จะทำได้ ถ้าเกิดสิ่งเลวร้ายต่อตนเองหรือผู้อื่น ก็รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นวิบากกรรมที่ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ต้องรับอยู่แล้ว รับแล้วสิ่งเลวร้ายนั้นก็จะหมดไปจากชีวิตนั้น สิ่งดีงามก็จะยิ่งส่งผลดีงามได้มากเพราะไม่มีพลังเลวร้ายนั้นมาต้าน ถ้ารับวิบากร้ายในขณะที่ทำความดี วิบากร้ายก็จะหมดไปพร้อมกับวิบากดีที่เกิดขึ้นส่งผลที่ดีต่อตนเองและผู้อื่นสืบไป เป็นชีวิตที่ประเสริฐมีคุณค่าประโยชน์แท้ ซึ่งต่างจากการรับวิบากร้ายโดยไม่ทำความดีอะไรหรือเลือกทำความดีที่น้อยกว่าทั้งๆที่มีโอกาสมีความสามารถในการทำความดีที่มากกว่าได้ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่นมากกว่า บางทีวิบากดีที่ผู้นั้นตัดสินใจทำกลับช่วยลดวิบากร้าย ณ เวลานั้นได้ด้วยซ้ำ ถ้าวิบากร้ายนั้นไม่แรงเกินไปก็จะปลอดภัยหรือได้รับวิบากร้ายน้อยกว่าที่เคยทำมา พระพุทธองค์จึงพากเพียรบำเพ็ญต่อเนื่องชาติแล้วชาติเล่าอย่างไม่ย่อท้อ เพื่อช่วยให้มนุษย์ที่ยังมีกิเลสความเลวร้ายอยู่ในจิตวิญญาณอันเป็นภัยต่อตนเองและผู้อื่นนั้น สามารถทำลายความเลวร้ายในตนจนเกิดจิตวิญญาณที่ดีงามที่ทำประโยชน์สุขที่แท้จริงต่อตนเองและผู้อื่น จนได้ตรัสรู้เป็นพุทธเจ้ามหาบุรุษแห่งจักรวาลผู้เป็นที่พึ่งแท้ของมนุษยชาติ
เราทั้งผองพี่น้องกัน เจริญธรรมสำนึกดีครับ
หมอเขียว : ใจเพชร กล้าจน
๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๖

คนดีแท้ควรต่อต้านคนชั่วด้วยเมตตา(5)

คนดีแท้ควรต่อต้านคนชั่วด้วยเมตตา อยากช่วยให้คนชั่วหยุดบาปแล้วหันมาทำดีแทน จะได้ลดเหตุแห่งทุกข์เพิ่มเหตุแห่งสุขต่อตนเองและผู้อื่น ด้วยการช่วยกันใช้มาตรการต่างๆทางสังคมทางกฎหมายและให้ปัญญาทางธรรมเรื่องกฎแห่งกรรมกับเขาว่า ที่เขาต้องสะสมความทุกข์ทรมานแสนสาหัสที่มากขึ้นๆอย่างนั้น และจะมีสิ่งเลวร้ายอย่างอื่นตามมาอีก ก็เพราะการทำความชั่วต่อเนื่องของเขา เขาควรจะหยุดชั่วเถิด แล้วพากเพียรทำดี ทุกข์จะได้น้อยลง เพราะชั่วที่เขาทำมาแล้วนั้นก็จะส่งผลทุกข์ทรมานแสนสาหัสอีกหลายชาติแน่นอนอยู่แล้ว ถ้าทำดีมากเท่าไหร่ก็จะทำให้ทุกข์ลดน้องลงและเกิดสุขได้มากเท่านั้นๆ
 การเพิ่มอธิศีลเป็นทางที่เร่งชัยชนะได้เร็วที่สุด ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ผู้ใดด่าว่า กล่าวร้ายพระอาริยะ จะฉิบหาย ๑ ใน ๑๑ อย่างนี้ ๑. ไม่บรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ(ไม่ได้ความผาสุกที่แท้จริง) ๒. เสื่อมจากธรรมที่บรรลุแล้ว(เสื่อมจากความผาสุกที่ได้แล้ว) ๓. สัทธรรม (ธรรมที่ดีแท้) ย่อมไม่ผ่องแผ้ว ๔. เข้าใจผิดว่าได้บรรลุสัทธรรม         ๕. ไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์ (การหยุดชั่วและทำดีอย่างมีสุขเป็นธรรมอันประเสริฐ) ๖. มีความผิดเศร้าหมองอย่างใดอย่างหนึ่ง ๗. เลิกปฏิบัติธรรมเวียนกลับมาเลวต่ำช้า ๘. เป็นโรคร้ายแรงหนัก ๙. เป็นบ้ามีจิตฟุ้งซ่าน ๑๐. ตามด้วยความหลงผิด ๑๑. ย่อมเข้าถึงอบาย (ความฉิบหายพินาศ)  ทุคติ (ไปชั่วไปทุกข์)  วินิบาต (ตกต่ำทรมาน)  นรก (เดือดร้อนกายใจ)” (พระไตรปิฎก เล่ม ๒๔ พยสนสูตรข้อ ๘๘ และ ๒๑๓)
จะเห็นได้ว่า การเพิ่มอธิศีลเป็นการเพิ่มความบริสุทธิ์ เพิ่มความเป็นอาริยะ ในตัวเราได้มากเท่าไหร่ ก็จะทำให้ผู้มุ่งร้ายทุกข์ทรมานพินาศได้เร็วที่สุดและกลับใจได้เร็วที่สุด เท่านั้นๆ (ดีกว่าการได้รับทุกข์ทรมานพินาศช้า และไม่กลับใจ เพราะเขาจะทำเหตุแห่งทุกข์ทรมานต่อตนเองและผู้อื่นอีกยาวนาน) พลังแห่งความเลวร้ายของคนที่มุ่งร้ายจะส่งกลับเป็นทวีคูณ  อย่างเช่นพระพุทธเจ้าผู้บริสุทธิ์แท้ นางกิญจมานวิกาได้กล่าวหาพระพุทธเจ้าด้วยคำที่ไม่จริง ว่าทำให้เธอตั้งครรภ์ ต่อมาอีกไม่นานด้วยวิบากกรรมนั้นทำให้เธอถูกแผ่นดินสูบ อีกกรณีคือเทวทัตทำไม่ดีกับพระพุทธเจ้าและคนอื่นๆ วิบากบาปทำให้ถูกแผ่นดินสูบ แล้วกลับใจเอาพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง พระพุทธเจ้าตรัสว่าด้วยความสำนึกนั้นจะทำให้เทวทัตได้บำเพ็ญเป็นพระปัจเจกพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งในภายภาคหน้าหลังจากใช้กรรมในนรกทุกข์ทรมานแสนสาหัสชั่วกัปชั่วกัลป์  ตัวสำนึกนี้ทำให้เขาเดินทางสู่ความหลุดพ้นจากทุกข์ได้ ถ้าไม่มีตัวสำนึกนี้เขาจะไม่มีวันหลุดพ้นจากทุกข์เลยและตกนรกตลอดกาล
พระไตรปิฎก เล่ม ๒๑ ปาณาติปาตสูตร ข้อ ๘๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ ย่อมเกิดในนรก(ชีวิตผู้นั้นได้รับเดือดร้อนทุกข์ทรมานทั้งในชาตินี้และชาติอื่นๆสืบไป)เหมือนถูกนำมาโยนลง ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน คือ เป็นผู้มักฆ่าสัตว์ ๑ ลักทรัพย์ ๑ ประพฤติผิดในกาม ๑ พูดเท็จ ๑ บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการนี้แล ย่อมเกิดในนรก(ชีวิตผู้นั้นได้รับเดือดร้อนทุกข์ทรมานทั้งในชาตินี้และชาติอื่นๆสืบไป) เหมือนถูกนำมาโยนลง ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ ย่อมเกิดในสวรรค์(ชีวิตผู้นั้นได้รับประโยชน์ความผาสุกทั้งในชาตินี้และชาติอื่นๆสืบไป)เหมือนถูกเชิญมา ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน คือ เป็นผู้งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ๑ จากการลักทรัพย์ ๑จากการประพฤติผิดในกาม ๑ จากการพูดเท็จ ๑ บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการนี้แล ย่อมเกิดในสวรรค์(ชีวิตผู้นั้นได้รับประโยชน์ความผาสุกทั้งในชาตินี้และชาติอื่นๆสืบไป)เหมือนถูกเชิญมา ฯ
ดังนั้น ถ้าต้องการจบสิ่งเลวร้ายให้เร็วก็ให้เพิ่มอธิศีลให้มาก และมารวมกัน เช่น ปฏิบัติศีลห้าลดละอบายมุขเป็นพื้นฐาน ได้แก่ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักขโมยฉ้อโกง ไม่ประพฤติผิดในกามไม่ล่วงละเมิดผัวเขาเมียใครลูกใคร ไม่พูดโกหก ลดละเลิกคำหยาบ(คำที่เพิ่มหรือส่งเสริมให้เกิดความโลภโกรธหลง) ส่อเสียด(ยุยงให้ทะเลาะทำร้ายกัน) เพ้อเจ้อ(ไร้สาระไม่เกิดประโยชน์) ไม่ดื่มสุราเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สุราแปลว่าเมา ศีลข้อห้านั้นสุรานอกจากจะหมายถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้วยังหมายรวมถึงการมัวเมาในอบายมุข ๖ ด้วย ดังนั้น การปฏิบัติศีลข้อห้าให้สมบูรณ์ คือ การลดละเลิกอบายมุข ๖ ได้แก่ ๑. คบคนชั่วเป็นมิตร ๒. การพนันเสี่ยงทาย ๓. การเที่ยวเล่น ๔. การเที่ยวกลางคืน ๕. เกียจคร้านในการงานที่ดีงาม ๖. ความมัวเมาเสพติดในสิ่งที่เป็นพิษต่อชีวิตรวมถึงสิ่งฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็นของชีวิตทุกมิติทั้งของกินของใช้และการกระทำต่างๆ ตัวอย่างการปฏิบัติลดละเลิกความมัวเมา เช่น ฝึกลดละเลิกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หมาก พลู บุหรี่ ยาบ้า ยาอี ยาไอซ์ เครื่องดื่มคาเฟอีน น้ำอัดลม ฯลฯ ฝึกลดมื้ออาหารที่เกินความจำเป็น เช่น จากคนที่เคยกินวันละ ๕ มื้อ ก็ลดลงมาเหลือ ๔, ๓, ๒ และ๑ มื้อ เป็นลำดับ พระพุทธเจ้าตรัสว่า กินวันละ ๑ มื้อดีที่สุดพอดีที่สุด(ผู้ที่ไม่เคยฝึกอาจทำยากหน่อยครับ ก็ลดละเท่าที่ทำได้โดยไม่ยากไม่ลำบากเกินไปก็แล้วกันครับ พระพุทธเจ้าตรัสว่า การปฏิบัติสายกลางตามฐานจิตของแต่ละคนคือที่ไม่ให้ตึงหรือหย่อนเกินไปให้ตั้งตนอยู่บนความลำบากคือฝืนบ้างแต่อย่าให้ทรมานตึงเครียดเกินไป จนถึงที่สุดก็จะทำสิ่งดีนั้นได้อย่างสบายโดยไม่ยากไม่ลำบาก) เคยกินจุบจิ๊บไม่เป็นมื้อก็ลดลง ฝึกกินเป็นมื้อเป็นคราว ลดละการกินเนื้อสัตว์เท่าที่ทำได้ ลดความโลภโกรธหลงเท่าที่จะทำได้ด้วยการเกื้อกูลแบ่งปันแรงกายความรู้ทรัพย์สินอุปกรณ์ข้าวของเท่าที่พอจะทำได้โดยไม่ลำบากตนเองและผู้อื่นเกินไป

รวมถึงเมื่อประสบเหตุการณ์ที่คู่ต่อสู้ดื้อด้านหรือทำสิ่งเลวร้ายใส่เรา เราก็ฝึกลดละความโกรธ โดยการใช้ปัญญาว่าสัจจะแห่งกรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้พบว่า ไม่มีอะไรที่ใครได้รับโดยไม่ได้ทำมาไม่ว่าจะดีหรือร้าย ไม่ทำในชาตินี้ก็ชาติก่อนๆ ดังนั้นไม่มีสิ่งเลวร้ายใดที่เราหรือใครๆได้รับโดยที่เราหรือผู้นั้นไม่เคยทำมา ผู้นั้นเคยทำมาทั้งนั้นไม่ชาตินี้ก็ชาติก่อนๆ เมื่อรับแล้วสิ่งเลวร้ายนั้นก็หมดไปกว่าที่ได้รับเพราะมีดีที่พากเพียรทำอยู่มาช่วยลดไว้ ส่วนผู้ที่ทำไม่ดีกับใครๆ ณ ปัจจุบันนั้นก็จะต้องรับวิบากกรรมนั้นสืบต่อไป รวมทั้งผู้คนทุกคนทุกฝ่ายที่มีหน้าที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ของประชาชน ถ้าทำดีก็เป็นวิบากดีของเขา ถ้าทำชั่วรวมถึงไม่ทำหน้าที่ที่ควรทำก็เป็นวิบากชั่วของเขา ต้องรอรับผลดีหรือร้ายนั้นสืบต่อไป เช่น ในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๒ ข้อ ๓๙๒ พระพุทธเจ้าตรัสว่า อดีตชาติพระพุทธเจ้าเคยใส่ร้ายพระอรหันต์นันทะ พระอรหันต์นันทะไม่โกรธไม่ได้ใส่ร้ายคืน วิบากบาปนั้นทำให้พระพุทธเจ้าในอดีตชาติต้องทรมานหลายหมื่นปี จนปางที่ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าวิบากบาปส่วนที่ยังเหลืออยู่นั้น ไม่สามารถดลให้พระอรหันต์นันทะมาใส่ร้ายคืนได้วิบากบาปนั้นจึงไปดลให้นางจิญจมานวิกามาใส่ร้ายพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็หมดวิบากกรรมนั้นจึงมีเหตุให้เรื่องเปิดเผยให้คนรู้ความจริง แต่ด้วยนางจิญจมานวิกาทำชั่วด้วยเจตนาสั่งสมเป็นวิบากบาปของนางดลให้แผ่นดินสูบนางในเวลาต่อมา ดังนั้น ผู้ที่ทำไม่ดีกับใครๆ ก็สั่งสมเป็นวิบากบาปของผู้นั้นก็จะรอรับผลร้ายในชาตินี้หรือชาติอื่นๆสืบไป ถ้าผู้ถูกกระทำในสิ่งที่ไม่ดีนั้น ไม่ตอบโต้ด้วยความรุนแรง เมื่อวิบากบาปส่งผลผู้ที่ทำความรุนแรงเขาจะทุกข์ทรมานและพ่ายแพ้ไปฝ่ายเดียว ส่วนคนถูกกระทำในสิ่งที่ไม่ดี ถ้าไม่ตอบโต้ด้วยความรุนแรง ก็จะหมดวิบากร้ายไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็จะได้รับชัยชนะและความผาสุกอย่างยั่งยืน แต่ถ้าเราตอบโต้ด้วยความรุนแรง เราก็จะเพิ่มวิบากใหม่ของเราอีก อันจะนำความทุกข์ความพ่ายแพ้มาสู่เราและผองชนอีก ผู้มีปัญญาแท้จึงต่อสู้โดยใช้สันติ อหิงสา อโหสิ ติในสิ่งที่ควรติ ชมในสิ่งที่ควรชม ใช้มาตรการทางกฎหมายทางสังคมและกฏแห่งกรรมควบคู่ไปด้วย โดยกระทำด้วยปัญญา เมตตา อุเบกขา ให้ผองชนได้รับประโยชน์สุขสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และให้คู่ต่อสู้ให้เห็นผลเสียของการทำไม่ดีเพื่อกลับใจเป็นคนดีในชาตินี้หรือชาติอื่นๆสืบไปไม่ชาติใดก็ชาติหนึ่งเขาจะเป็นคนดี (เห็นทุกข์จึงเห็นธรรม) เป็นการต่อสู้ที่ดีที่สุด ประเสริฐที่สุด ปราบสิ่งเลวร้ายได้สูงสุด 

เมื่อมวลมหาประชาชนใช้ยุทธวิธีสันติ อหิงสา ติในสิ่งที่ควรติ ชมในสิ่งที่ควรชม(4)

การต่อสู้ด้วยปัญญา สันติ อหิงสา มีการระดมรวมพลจำนวนมากเป็นคราวๆ สลับกับกลุ่มเล็กที่สามารถยืนหยัดอยู่ในพื้นที่ชุมนุม ยาวนานเท่าไหร่ คนชั่วจะยิ่งทุกข์ทรมานยิ่งกว่าถูกฆ่าให้ตายเท่านั้นๆ เพราะจะถูกกฎหมาย กฎแห่งกรรม และมาตรการทางสังคมคว่ำบาตรประณามประจานทุกสื่อทุกรูปแบบ ทุกๆวันอย่างยาวนาน เขาต้องรับความรู้สึกทุกข์ทรมานจิตใจทุกๆวันอย่างยาวนานตอนเป็นๆของชีวิต เพราะพระพุทธเจ้าพบว่าธรรมชาติของคนที่ยังมีกิเลสเมื่อได้รับผัสสะ(เหตุการณ์ที่มากระทบ)ที่ตนไม่ต้องการหรือชิงชังรังเกียจ ก็จะรู้สึกทุกข์ใจทันทีส่งผลให้ร่างกายทรุดโทรมเจ็บป่วยด้วย คนในระบอบทักษิณมีกิเลสต้องการอำนาจ ลาภ ยศ สรรเสริญ การชื่นชม ยอมรับ เคารพ เอาใจ ไม่อยากได้รับการประณาม ประจาน ติติง ด่าว่า นินทา ดูถูก ดูแคลน เหยียดหยาม ไม่เคารพ ไม่ยำเกรง เมื่อได้รับสภาพด้านลบดังกล่าวก็จะรู้สึกทุกข์ทรมานทุรนทุรายอึดอัดหดหู่ซึมเศร้าหม่นหมองในจิตใจ แม้แค่คนมาร่วมชุมนุมต่อต้านเขาโดยไม่ได้พูดอะไร ก็ทำให้เขาทุกข์ทรมานจะกระอักเลือดตายอยู่แล้วเพราะเขาไม่ชอบสิ่งนั้น แค่คนหนึ่งคนทำพฤติกรรมด้านลบดังกล่าวกับใครที่ยังมีกิเลสอยู่ก็จะรู้สึกทุกข์ใจ แต่นี่คนนับพันหมื่นแสนล้าน ประณามทุกๆวันอย่างยาวนาน จะทุกข์ทรมานสะสมมากขนาดไหน เป็นนรกที่ต้องรับตลอดเวลาอย่างยาวนาน ทั้งในชาตินี้และชาติอื่นๆสืบไป ที่ระบอบทักษิณ เช่น คุณยิ่งลักษณ์ เป็นต้น พยายามแสดงท่าทางยิ้มๆร่าเริงเบิกบานต่อหน้าสื่อหรือสาธารณะชน นั้นเป็นการเก็บซ่อนอาการไม่ให้คนรู้ว่าทุกข์ทรมานเท่านั้น เพราะถ้าคนที่ไม่ชอบเขารู้ว่าเขาทุกข์ทรมานสิ่งใดก็จะทำสิ่งนั้นมากยิ่งขึ้น เขาก็จะยิ่งทุกข์ทรมานมากยิ่งขึ้น จึงกลบด้วยสีหน้าร่าเริงเบิกบาน เหมือนนักมวยที่เก็บอาการทั้งๆที่ข้างในบอบช้ำสุดจะบอบช้ำสุดจะทนแล้ว เขาหลอกคนอื่นได้ แต่หลอกตัวเองไม่ได้ และหลอกผู้มีปัญญาที่รู้สัจจะไม่ได้ สังเกตได้จาก เขาบอกว่ายินดีรับฟังความคิดเห็นของประชาชน แสดงว่าเขามีความสุขที่ได้ฟังความเห็นของประชาชน แต่เขาพูดว่าหยุดชุมนุมเถอะค่ะ หยุดชุมนุมเถอะค่ะ แปลว่าอะไร แปลว่ามีความทุกข์ที่ประชาชนออกมาชุมนุม แสดงว่ามาตรการที่ประชาชนทำนั้นได้ผลแล้ว อีกตัวชี้วัดหนึ่งคือเขาให้คนของเขาสั่งย้ายนายตำรวจที่ไม่สามารถขัดขวางประชาชนที่ไปประณามเขาที่บ้านของเขา เห็นได้ชัดเลยว่าประชาชนทำกิจกรรมนี้มีผลให้เขาเป็นทุกข์ ประชาชนคนดีส่วนหนึ่งไม่รู้ว่าตนเองทำงานได้ผลจึงร้อนใจทุกข์ใจ อีกกรณีหนึ่ง มีสาวทอมไปเป่านกหวีดใส่ เขาก็ทำท่าทางพูดดีด้วย แต่พอหันหลังให้เขาก็ทำหน้าบึ้งไม่พอใจทุกข์ใจ เป็นต้น
  เมื่อมวลมหาประชาชนใช้ยุทธวิธีสันติ อหิงสา ติในสิ่งที่ควรติ ชมในสิ่งที่ควรชม ใช้มาตรการทางสังคมและมาตรการทางกฎหมาย คดีที่รอศาลและองค์กรอิสระเชือดเยอะมาก แล้วเขาก็รู้ว่าเขาสู้ไม่ได้ เขาจึงต้องการให้มีการเลือกตั้งในสภาพระบบที่เขาสามารถโกงการเลือกตั้งได้ให้เร็วที่สุด เพราะว่าจะได้รีบกลับมาออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้เร็วไม่เช่นนั้นเขาต้องทรมานอยู่อย่างนั้น  คนมีกิเลส มีโลกธรรม จะไม่อยากถูกติ อยากให้คนเห็นด้วย อยากให้คนเห็นภาพสวยๆ ไม่อยากถูกติถูกด่า อยากได้การเอาใจ อยากได้ทรัพย์สมบัติมากๆ  ดังนั้นการออกมาของประชาชน แม้ไม่ต้องพูดอะไร แค่ออกมาเฉยๆว่าไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลเขาก็จะกระอักเลือดตายอยู่แล้ว  ยิ่งพูดติ หรือประณามเขาด้วย เขายิ่งทรมานยิ่งกว่าถูกฆ่าอีก เพราะถ้าฆ่าเขาเขาก็แค่ไม่รู้สึกอะไร ไม่ได้ยินคำประณามเหล่านั้น ที่เหลือก็จะไปรับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสอย่างยาวนานในภพชาติอื่นๆสืบไป การไม่ตายแต่ถูกประณาม ทุกข์ทรมานยิ่งกว่าการถูกตัดหัวเสียบประจาน ถูกประณามทั้งชีวิตไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ การสร้างให้คนเกลียดก็มีอันตรายตลอดเวลา เขามีเงินตั้งมากมายแต่ไม่สามารถโผล่หัวออกไปตามที่ต่างๆได้อย่างอิสระ เพราะเขาจะกังวลว่าอาจถูกคนด่า คนว่า เผลอๆอาจถูกคนที่ไม่พอใจที่โกรธเกลียดแค้นในส่วนที่ทนไม่ได้ปองร้ายเข่นฆ่าเอาได้ เพราะคนบางส่วนไม่ได้วางใจที่จะให้อภัยได้ ซึ่งต่างจากเราที่ให้อภัยได้ คนที่วางใจไม่ได้ก็มีจริงบุคคลเหล่านั้นอาจปองร้ายเขาได้ตลอดเวลา เขาจึงไม่สามารถอยู่ที่ใดที่หนึ่งอย่างเปิดเผยได้ ต้องหลบๆซ่อนๆ โผล่แว๊บนึงก็ต้องหลบ เหมือนสัมภเวสีปีศาจตกนรกทุกข์ทรมานไร้ที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ชีวิตเขาจึงเต็มไปด้วยความทุกข์ไม่มีความสุขที่ยั่งยืนเลย
ในส่วนของเรานั้นเป็นนักปฏิบัติธรรมเรามีเมตตาอุเบกขาไม่ได้มีความโกรธเขา และเราเข้าใจเชื่อมั่นเรื่องกรรมว่า คนที่ทำชั่วนั้น ต่อให้ไม่มีใครทำร้ายเขา วิบากกรรมก็จะทำร้ายเขาเองด้วยวิธีการต่างๆ เช่น ทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ ภัยพิบัติธรรมชาติ หรือภัยอื่นๆ ในชาตินี้หรือชาติอื่นๆสืบไป เราจึงไม่จำเป็นต้องไปเข่นฆ่าทำร้ายเขาให้เราเป็นบาปเปล่าๆ และส่งกำลังใจกำลังปัญญาแห่งสัจจะถึงพี่น้องร่วมโลกว่าอย่าเข่นฆ่าเบียดทำร้ายใครเลย เป็นบาปกับตัวเองเปล่าๆ ใช้กฎหมาย กฎสังคม และกฎแห่งกรรม เป็นสัจจะที่จริงที่สุดยุติธรรมที่สุดและดีที่สุดแล้ว เป็นชัยชนะสูงสุดที่แท้จริงของมวลมหาประชาชนคนดี
ผมขอคารวะและขอขอบพระคุณในพลังความดีกล้าหาญเสียสละของพี่น้องมวลมหาประชาชนทุกท่าน ทุกกลุ่ม ทุกเวที โดยเฉพาะพี่น้องที่ไม่ใช่นักปฏิบัติธรรมที่ชุมนุมเผชิญหน้ากับตำรวจ ที่ท่านไม่หลงกลระบอบทักษิณที่สั่งการหรือปลุกปั่นให้ตำรวจบางส่วนใช้อาวุธแก๊สน้ำตากระสุนยางกระสุนจริงด้วยความอำมหิตโหดร้ายที่รุนแรงเกินควรกับประชาชนตามลำดับจากหนักไปหาเบา อย่างน่าโมโหโกรธเกลียดแค้นเคืองอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในผู้ที่ยังไม่ได้ปฏิบัติธรรมที่ประสบหรือรับรู้เหตุการณ์ดังกล่าว แต่พี่น้องประชาชนก็ไม่ได้มุทะลุใช้ความรุนแรงทุบตีไม่ได้ใช้ปืนระเบิดการเผาหรืออาวุธต่างๆหรือวิธีการต่างๆที่รุนแรงเข่นฆ่าตำรวจ เนี่องจากทุกกลุ่มทุกเวทีหล่อหลอมการต่อสู้แบบสันติอหิงสามาโดยตลอดอย่างได้ผล จึงทำให้คนส่วนใหญ่ไม่ตอบโต้ด้วยความรุนแรง ใช้ความสงบกับหลบเลี่ยง ซึ่งพื้นฐานพี่น้องส่วนใหญ่ที่ประจันหน้ากับตำรวจเป็นนักสู้สายบู้ไม่ใช่สายบุ๋นและไม่ใช่นักปฏิบัติธรรม ถ้าไม่ฝึกฝนการต่อสู้ด้วยสันติอหิงสามาก่อน ต้องเกิดการใช้ความรุนแรงตอบโต้ตำรวจอย่างแน่นอน ถึงกระนั้นก็ตามพระพุทธเจ้าตรัสว่าโลกนี้พร่องอยู่เป็นนิจ จึงมีพี่น้องประชาชนบางส่วนเพียงเล็กน้อยที่ทนไม่ได้ จึงขว้างแก๊สน้ำตาบางส่วนที่ตำรวจยิงมาหรือก้อนหินที่พอหาได้หรือยิงหนังสติ๊กกลับคืนไปบ้าง ซึ่งก็รุนแรงน้อยกว่าที่ตำรวจทำกับประชาชนอย่างเทียบกันไม่ได้ เป็นความเจริญอย่างมากของสายบู้ที่สามารถลดความรุนแรงลงได้อย่างมากขนาดนั้น ซึ่งจะสามารถพัฒนาให้เจริญก้าวหน้าสูงสุดต่อไปได้คือถึงขั้นไม่ตอบโต้ด้วยความรุนแรงใดๆเลย เพราะผู้ใช้ความรุนแรงมากกว่าย่อมแพ้มากกว่าเนื่องจากจะแสดงออกถึงความเลวอำมหิตโหดร้ายในการสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินชัดเจนมากกว่า ก็จะผิดกฎหมาย ผิดกฎสังคม ผิดกฎแห่งกรรม ผิดศีลธรรม น่ารังเกียจมากกว่า คนก็จะไม่สนับสนุน ไม่อยู่ด้วย ไม่เอาด้วย ไม่เห็นด้วย แล้วหันมาอยู่กับฝ่ายที่สงบไม่รุนแรง ฝ่ายไม่รุนแรงก็จะชนะ

ดังนั้นเมื่อไม่สามารถห้ามการใช้ความรุนแรงของฝ่ายตรงกันข้ามได้ ผู้มีปัญญาแท้จะไม่ใช้ความรุนแรง จะใช้วิธีสงบหรือหลบเลี่ยงให้ปลอดภัย โดยปล่อยให้ฝ่ายตรงกันข้ามแสดงความรุนแรงอันคือความชั่วที่ชัดเจนแต่ฝ่ายเดียว เพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามขายขี้หน้าตัวเองและพ่ายแพ้ไปฝ่ายเดียว ผู้ใช้ความรุนแรงน้อยจึงแพ้น้อย ผู้ไม่ใช้ความรุนแรงเลยจึงไม่แพ้เลยชนะอย่างเดียว ชนะความเลวร้ายรุนแรงในตน ชนะความทุกข์ ชนะความไม่ปลอดภัย ทำให้ตนเองและผู้อื่นปลอดภัย ตัวชี้วัดว่าใครพัฒนาจิตใจได้เข้มแข็งดีงามที่สุดจนสามารถเอาชนะความโกรธได้ ก็คือผู้ชนะความรุนแรงในตนเองได้ จึงไม่ใช้ความรุนแรง ทำควบคู่กับการต่อสู้ด้วยกฎหมาย กฎสังคม และกฎแห่งกรรม ผู้นั้นก็จะนำชัยชนะคือความผาสุกที่แท้จริงมาสู่ตนเองและผองชน เป็นชัยชนะที่ประเสริฐที่สุดในโลก